ปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา รถ Ford Eco-Sport ของผมโดนชนท้ายทำให้ต้องพาเข้าไปจอดในอู่นานพอสมควร ทั้งๆที่ไม่ได้หนักหนาอะไร แต่ก็เป็นประสบการณ์ว่า การทำประกันอู่นั้น กว่าจะได้อะไหล่มาแต่ละชิ้นนั้นยากเย็น รอแล้วรออีก แม้แต่อะไหล่ชิ้นเล็กๆ ยังต้องรอกันนานเลย สรุปก็คือ จอดที่อู่ 2 เดือนเต็มๆ จนแบตเสื่อมกันเลย ซึ่งในช่วงที่ไม่มีรถใช้ ก็เลยได้มีโอกาสเอามอเตอร์ไซค์ ใช้ซื้อของตะลอนๆ ไปที่ต่างๆบ้าง ทั้งคันเก่าคันแก่ Scoopi-I (เจ้าแองกรี้เบิร์ด) หรือได้ฟิลาโน่ของบูม(น้องชายแจน) มาให้ยืมใช้แว้นแถวๆบ้าน ก็เลยได้ทดสอบตัวเองว่า ถ้าจะซื้อมอเตอร์ไซค์จะชอบการขี่มั้ย หรือจะรู้สึกร้อน เมื่อย เหนื่อยรึป่าว แต่ช่วง 2 เดือนที่ไม่ได้ขับรถ ก็ทำให้รู้ว่า ตอนที่อยู่บนรถมอเตอร์ไซค์นั้นก็สนุกดีนะ อารมณ์คล้ายๆ กับการได้สนุกกับการปั่นจักรยานน่ะแล่ะ สุดท้ายก่อนที่รถจะเสร็จแค่วีคเดียวก็เลยตัดสินใจไปถอยเจ้า Honda CRF 300L มาเรียบร้อย
เอาจริง ในกลุ่มรถมอเตอร์ไซค์เนี่ย มีรุ่นที่ชอบอยู่ไม่กี่รุ่น ซึ่งบางตัวก็อาจจะแพงเกินไปสำหรับสภาวะโควิดแบบช่วงนี้ แต่รุ่นนึงที่ชอบมานานแล้วก็คือ ตระกูล Enduro (มอเตอร์ไซค์วิบาก) นั่นเอง ซึ่งเคยจะซื้อจะซื้อตั้งแต่เมื่อ 4-5 ปีก่อนแล้ว แต่แค่ยังไม่มั่นใจว่าจะซื้อมาแล้วได้ใช้หรือซื้อมาจอดแบบเดียวกับเจ้าแองกรี้เบิร์ด ถึงขั้นเข้าไปที่ศูนย์ฮอนด้าลองจับลองนั่ง CRF 250L และ CRF 250Rally ดูแล้ว หรือมีได้ไปลองขี่ KLX ที่คาวาตรงพระรามเก้าก็ไปมาแล้ว กลับมารอบนี้หลังจากที่ทดสอบตัวเองแล้วก็เลยอนุญาตตัวเองด้วยเลย และก็ได้ไปลองจับๆตั้งแต่ WR155 ของทางยามาฮ่า หรือเจ้า KLX230 ของทางคาวา แต่สุดท้ายที่ชอบที่สุดนั้นก็มาจบที่ CRF300L นั่นเอง เพราะด้วยราคาที่สูงกว่าทาง WR155 เพียง 4 หมื่น แต่ได้เครื่องแรงขึ้น รอบจัดขึ้น และอุปกรณ์ต่างๆ ก็ดูดีกว่าพอสมควร ที่สำคัญในตลาดเมืองไทย เรายังมี ของแต่งของ CRF300L มากกว่าแบรนด์อื่นๆเยอะเลย
หลังจากที่ถอยมา ก็รู้ตัวแล่ะ ว่าคงต้องเสียตังอีกประมาณนึงในการซื้อของแต่งรถบ้าง แต่ผมไม่ใช่สายแต่งรถเพื่อให้แรงให้ซิ่งกว่าเดิม เพราะเครื่องรถเดิมๆ มันก็วิ่งของมันได้ดีอยู่แล้ว แถมในรูปแบบการขับขี่รถสไตล์นี้ ตัวตั้งตรงรับลมเต็มๆอยู่แล้ว แถมถนนแถวบ้านที่จะต้องขี่ไปทำงานนั้นลมก็ดีใช้ได้เลย ดังนั้นก็ไม่รู้จะแต่ง CRF300L คันนี้ให้แรงขึ้นไปทำไม ที่เหลือก็คงเป็นการแต่งรถเพื่อความสวยงามมากกว่า หรืออาจจะมีอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยต่างๆ เพิ่มขึ้นมา เช่นหมวกกันน็อคแบบเอ็นดูโร่ของ Fox ซึ่งของเดิมที่ศูนย์แถมมาให้ก็เป็นแบบเอ็นดูโร่แล้วแต่รู้สึกจะคับไปนิดนึง ก็เลยไปหาขนาดที่ใส่พอดีๆ และสวยๆ มาใส่ พอได้หมวก Fox มาก็เลยก็ว่า เดี๋ยวคงหาสติ๊กเกอร์ติดรถที่เป็นลาย Fox ด้วยเลย ก็เลยได้ชุดสติ๊กเกอร์สำหรับแต่ง CRF300L โดยเฉพาะมาจากเพจ Moto Sticker MX ที่ฝากทางร้านใส่เบอร์ข้างรถให้ด้วย ซึ่งก็เลือกเบอร์ของตัวถังกะเลขเครื่องนั่นแล่ะ (ตอนเขียนบล็อกนี้ก็ลุ้นว่า พรุ่งนี้หวยจะออกเลขตัวถังอันนี้ด้วยนะ 4956)
ในส่วนของการขับขี่ ครั้งแรกที่ออกจากศูนย์นั่นคือนานมากแล้วที่ไม่ได้จับรถใช้เกียร์ แถมตอนออกจากศูนย์มาเนี่ย คลัชท์สูงใช้ได้ ต้องปล่อยเกือบๆสุดมือกันเลย แต่ยังดีที่ค่อนข้างนิ่ม แถมมี Assist Slipper Clutch ที่ช่วยให้ขับขี่ได้ง่ายขึ้น และเครื่องก็แรงพุ่งใช้ได้ แรกๆ ตอนที่ยังไม่ได้ปรับคลัชท์ให้หย่อนลงมา บางทีผมก็เลือกออกตัวด้วยเกียร์ 2 กันเลยจะได้ไม่พุ่งมาก โดยรวมๆ ก็ขับขี่สนุกมาก บิดติดมือเลยสำหรับช่วงเกียร์ 2-5 นี่แบบทำรอบได้จัดจ้านพอตัว มีเพียงเรื่องเดียวที่รู้สึกว่าถ้าแก้ได้นี่คือเพอร์เฟ็คกันเลยก็คือเรื่องของความร้อน เพราะขี่ไม่นานจะเริ่มรู้สึกร้อนๆ มาละทางด้านขวา(ฝั่งท่อนั่นแล่ะ) แต่ไม่ถึงกับร้อนมาก เดี๋ยวต้องคอยดูว่า หลังจากเปลี่ยนน้ำมันเครื่องรอบแรก กับพวกน้ำยาทั้งหลายแล้วจะดีขึ้นมั้ย แต่จริงๆ ก็ไม่ได้เป็นประเด็นใหญ่โตอะไรครับ
จริงๆ ครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกที่ได้มีรถมอเตอร์ไซค์ enduro ก็เลยคิดว่า ถ้ามีโอกาสก็อยากไปเรียนรู้วิธีการขับขี่ที่ถูกต้องเหมือนกัน ทั้งเพื่อความปลอดภัย และความสนุกนั่นแล่ะ แต่ตอนนี้ทุกโครงการคงต้องหยุดไว้ก่อน คงต้องรอหลังวิกฤติโควิดจะแผ่วลงบ้างแล่ะครับ ถึงจะได้มีโอกาสทำอะไรที่รอทำหลายอย่าง รวมถึงการขี่ CRF300L คันนี้ไปทำงานด้วยเช่นกัน เพราะตอนนี้ไม่ว่าจะเป็น หมวกกันน็อค, แว่นตา, เสื้อคลุม, ถุงมือ หรือแม้แต่เสื้อกันฝนก็มีพร้อมเซ็ตหมดแล้ว เหลือแค่จะได้ออกเมื่อไหร่ก็แค่นั้นแล่ะครับ