ถึงวันนี้ก็ผ่านไปประมาณ 3 เดือนกว่าๆ แล้วกับการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งวันที่นั่งเขียนโพสต์นี้อยู่ ก็ใช้งานไปประมาณ หมื่นกว่าโล ซึ่งพรุ่งนี้เช้าก็ต้องเอารถเข้าไปเช็คตามระยะ แต่ที่น่าสนใจก็คือ ได้โทรจองคิวเพื่อเช็คระยะ ก็เลยถามค่าใช้จ่ายโดยประมาณไว้ล่วงหน้า ซึ่งฝ่ายบริการแจ้งมาว่า ก็จะมีค่าโน่นนี่นั่น ถอดล้อ ทำความสะอาดเซ็นเซอร์ต่างๆ รวมล้างรถด้วย ทั้งหมดน่าจะประมาณ สี่ร้อยกว่าบาท !! แต่ก่อนอื่น ก่อนเริ่มเรื่อง มันเกิดขึ้นมาจากที่ Ford คันเก่ามันเริ่มงอแง เพราะขับใช้งานประมาณ สองแสนกว่าโลไปแล้ว เริ่มมีปัญหาที่ก้ามปูเกียร์ ก็ต้องเสียเงินเปลี่ยน แต่จริงๆ ก็ถือว่าเป็นอาการแรกที่มีปัญหาแบบรถขับไม่ได้นะ เพราะตลอดการใช้งาน เราก็เป็นประเภทรักษารถ ให้กินน้ำมันดีๆ น้ำมันเครื่องดีๆ มาตลอด แต่ท้ายที่สุดเมื่อระยะที่มันวิ่งก็ไม่น้อย รวมถึงอยู่กับเรามาก็เจ็ดปีพอดิบพอดี ก็เลยมองหารถมาทดแทนนั่นแล่ะคือที่มา ครั้นพออยากลองขับรถยนต์ไฟฟ้า ก็ลังเลมากๆ ว่ามันจะเป็นยังไงบ้าง จะดีพอมั้ย จะสะดวกในการใช้งานมั้ย หรือว่าควรรออีกหน่อยดีกว่า เผื่อเทคโนโลยีใหม่ๆ
เริ่มเดือนนี้ด้วยความตกใจ เพราะตอนปลายเดือนก็ไม่คิดว่า จะได้เป็น 15% BB แต่สุดท้ายเป็นได้ก็ดีเพราะรายได้ก็มีมาใช้ได้เลย ทำให้เดือนนี้เราเลยเครียดว่า ทำไงดี เดือนนี้บางคนที่เราปิดคอร์สมา เค้าเข้ามาช่วงกลางเดือนหรือบางคนก็ปลายเดือนแล้ว ของยังมีอยู่แน่ๆ จะปิดเพิ่มต้องหาคนใหม่เพิ่มแล้ว ก็เริ่มออกไปคุยเพิ่มกันตั้งแต่ต้นเดือนเลย แต่แล้วอุปสรรคมันก็จะมีมาเรื่อยๆ เปิดเดือนกรกฎาคม ด้วยความที่เป็นเดือนแรกของครึ่งปีหลัง ที่บริษัทเลยจัด workshop สำหรับผู้บริหาร ก็มากันทุกประเทศเลย วีคแรกเลยมาจบที่เข้า workshop ยังโชคดีที่หาเคสทำได้ในช่วงท้ายๆ สัปดาห์ แต่ก็ปิดไม่ได้ จนล่วงเลยมาในสัปดาห์ที่ 2 เคสต่างๆ ก็แทบปิดไม่ได้เลย คราวนี้ก็เริ่มกดดันแล้ว เพราะมันแตกต่างจากเดือนแรกพอสมควร อัตราประสบความสำเร็จแตกต่างกันมาก เพราะเดือนแรก คนที่สมัครเข้ามาล้วนแต่เป็นน้องๆ ที่เราสนิทจริงๆ พอเริ่มคุยกับคนในวงนอกมากขึ้นความยากมันเลยเพิ่มขึ้น เราเริ่มปรับวิธีการแล้ว เพราะเราชินกับรอบแรก ที่เรารู้จักกันดี เรารู้จักน้อง และน้องก็รู้จักเรา เชื่อถือเรา รอบนี้เราเลยเริ่มนัด โดยนัดคุยเรื่องสินค้าก่อน ปรากฏว่า
เดือนนี้เป็นเดือนที่ครบปีพอดี กับการพบกันของเรากับมอมแมม ไม่สิ ต้องเรียกชื่อฝรั่งเค้่าก่อน เพราะตอนเจอกันครั้งแรก เค้าชื่อ Howie แบบที่ยัยยาย ตั้งไว้ให้ (ยัยยาย คือ บรีดเดอร์ เจ้าของฟาร์ม Black Diamond Charm) จำได้ว่า ครั้งแรกที่ไปงาน ก็แค่อยากพาแจนไปงานมีทติ้งที่มีน้องหมาเยอะๆ เพราะเคยเห็นแจนยิ้มไม่หุบเลย ตอนไปงาน เพ็ทเอ็กซ์โป ซึ่งก็เลยได้ไปเห็นเหล่า เชลตี้เพียบเลย ก็แฮปปี้กันไป แต่บังเอิญ ในงาน คุณปูเป้ ก็เอาเจ้าหมาเด็กๆ มาด้วยและหนึ่งในนั้นก็คือ มอมแมม แจนก็เลยขออุ้มเล่น ทั้ง 2 ตัว แต่อีกตัวมีบ้านแล้ว ส่วนมอมแมม ยังไม่มีบ้าน เพราะตอนแรกทางยัยยาย ยังลังเลว่าจะเก็บเอาไว้ดีมั้ย เพราะเอาจริง ส่วนใหญ่ในบ้านเรา เชลตี้ (ชื่อเต็มๆ คือ
เมื่อคุยกันจบแล้วว่าเราจะเริ่มต้นทำแอมเวย์ เราก็มองหากลุ่มธุรกิจที่เราจะเริ่มต้นทำด้วย ผมใช้เวลาอยู่หลายเดือนในการฟังลิ้งค์ผู้ประสบความสำเร็จ และพยายามติดตามข่าวสาร และรู้ตัวว่า จากการที่เราหมดอายุในคราวก่อนนั้น เราต้องรอ 6 เดือนแบบไม่ยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจใดๆเลย จริงๆเราก็เสียดาย ที่อยากไปเดินเล่นในงาน แอมเวย์เอ็กซ์โป ช่วงต้นปี แต่ก็เอาวะ ยังไม่ไปดีกว่า เอาไว้สมัครได้แล้วค่อยไปเรียนรู้ทีเดียว สิ่งสำคัญที่เรารู้จักแอมเวย์ในสมัยเก่าก่อนก็คือ เราเป็นคนชอบแนวคิดของธุรกิจแอมเวย์ ที่ให้ความสำคัญและมองเห็นศักยภาพของผู้คน เราไม่ทิ้งใคร เราไม่ตัดสินใคร เพียงเพราะความแตกต่าง ไม่ว่า จะเรื่องของฐานะทางการเงิน การศึกษา อายุ หรือสังคมที่ต่างกัน แต่แอมเวย์ คือ ธุรกิจที่เราให้ความสำคัญกับผู้คนอย่างเท่าเทียม ทำให้ได้มีโอกาสได้ฟังแนวทางของหลายๆ กลุ่มที่ยังคงแนวคิดนี้ไว้อยู่ 1 ในนั้นก็คือกลุ่ม V2G (V2Gether) ของคุณวันชัย เมื่อตัดสินใจแล้ว พอเราสามารถสมัครได้ ก็ถึงเวลาทักสอบถามไปที่น้องพลุ ถาม์พร เพื่อขอเข้าไปจอยในกลุ่ม และน้องก็ให้การต้อนรับ โดยเลือกน้องๆ ที่บ้านอยู่ใกล้เรามาก
เมื่อเหล่าเจ้าของกิจการ และ CEO ต่างๆ ออกมาบอกว่า ครึ่งปีหลังนี้ รวมไปถึงปีต่อๆไป มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ถ้าเรายังจะร้องหา work life balance อยู่โดยที่ยังไม่มีอะไรมารองรับล่ะก็ น่าจะไม่ง่ายเอาซะเลย จนกลายเป็นดราม่ามากมาย ที่เห็นแตกต่างกันระหว่างคนแต่ละกลุ่ม ซึ่งพอย้อนมาดูตัวเอง ก็ถึงวัย ที่เริ่มรู้ตัวแล้วว่า อีกไม่กี่ปี เราจะไม่ได้เป็นที่ต้องการในตลาดที่เราทำงานอยู่ หรือง่ายๆ ก็คือ แก่เกินไปแล้วสำหรับงาน แถมอาชีพปัจจุบัน เราดันทำเกี่ยวข้องกับ เทคโนโลยี ซะอีก งานนี้ก็เลย โดน 2 เด้งเลย เพราะในตลาดนี้ มีเด็กรุ่นใหม่ๆ ที่สามารถเรียนรู้ได้เร็วกว่าเราเยอะ เหมือนสมัยก่อนที่ขอไม่ไปนั่งเขียนเว็บไซต์ เพราะเจอเด็กๆน้องๆ ที่เพิ่งจบมาเขียน โค้ดแบบโห.. ทำไม มันทำได้ง่ายจังวะ เมื่อก่อน ต้องมานั่งท่องนั่งจำแต่ละโค้ด นอกจากนั้น ทุกวันนี้เรารู้สึกว่า
me:
จากประสบการณ์ที่อยู่ในตลาดของอินเตอร์เน็ตเมืองไทย (ตั้งแต่ปี 1999) ผมได้ผ่านอะไรหลายๆอย่าง ผ่านยุคผ่านสมัยต่างๆของ เทคโนโลยี และในปัจจุบันก็ยังสามารถเอาชีวิตรอดอยู่ในธุรกิจนี้ เพียงแต่จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา
ตอนนี้ผมทำงานเกี่ยวกับ Influencers โดยเฉพาะบน YouTube ใครสนใจหรืออยากได้คำแนะนำในการทำเนื้อหาบน YouTube ยินดีพูดคุยกันนะครับ
ป.ล. ผมเลี้ยงง่าย แค่กาแฟถ้วยเดียวก็พอครับ
Twitter feed is not available at the moment.