ถ้าจะต้องหาผู้ต้องสงสัยในงานนี้ คงต้องเป็นครูเข็มแล้วล่ะครับ เพราะปกติ เวลามีปัญหาในการฝึกหมา ก็มักจะพูดคุยกับครูเข็มเรื่อยๆ แล้วอยู่ๆครูเข็มก็ส่งโปรโมชั่น ลดราคาเข้าคอร์สฝึกหมา คอร์สหลักของ Susan มาให้ มันคือ คอมโบ Handling 360 รวมกับ Agility Nation ซึ่งรวมๆ ราคาลดแล้วห้าหมื่นกว่าบาท (นี่ลดแล้วเหรอเนี่ย) ซึ่งเคยตั้งใจอยากลงเรียนคอร์สนี้ตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่คุยกับสตาฟ เค้าแนะนำให้ลง Recallers ก่อนจะดีกว่า เพราะถ้ายังเป็นลูกหมา แล้วเรายังไม่ค่อยมีความรู้ ก็อยากให้พื้นฐานแน่นไว้ก่อน สรุปพอคำนวณไปๆมาๆ ก็เลยตัดสินใจ
ถึงวันนี้ก็ผ่านไปประมาณ 3 เดือนกว่าๆ แล้วกับการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งวันที่นั่งเขียนโพสต์นี้อยู่ ก็ใช้งานไปประมาณ หมื่นกว่าโล ซึ่งพรุ่งนี้เช้าก็ต้องเอารถเข้าไปเช็คตามระยะ แต่ที่น่าสนใจก็คือ ได้โทรจองคิวเพื่อเช็คระยะ ก็เลยถามค่าใช้จ่ายโดยประมาณไว้ล่วงหน้า ซึ่งฝ่ายบริการแจ้งมาว่า ก็จะมีค่าโน่นนี่นั่น ถอดล้อ ทำความสะอาดเซ็นเซอร์ต่างๆ รวมล้างรถด้วย ทั้งหมดน่าจะประมาณ สี่ร้อยกว่าบาท !! แต่ก่อนอื่น ก่อนเริ่มเรื่อง มันเกิดขึ้นมาจากที่ Ford คันเก่ามันเริ่มงอแง เพราะขับใช้งานประมาณ สองแสนกว่าโลไปแล้ว เริ่มมีปัญหาที่ก้ามปูเกียร์ ก็ต้องเสียเงินเปลี่ยน แต่จริงๆ ก็ถือว่าเป็นอาการแรกที่มีปัญหาแบบรถขับไม่ได้นะ
เริ่มเดือนนี้ด้วยความตกใจ เพราะตอนปลายเดือนก็ไม่คิดว่า จะได้เป็น 15% BB แต่สุดท้ายเป็นได้ก็ดีเพราะรายได้ก็มีมาใช้ได้เลย ทำให้เดือนนี้เราเลยเครียดว่า ทำไงดี เดือนนี้บางคนที่เราปิดคอร์สมา เค้าเข้ามาช่วงกลางเดือนหรือบางคนก็ปลายเดือนแล้ว ของยังมีอยู่แน่ๆ จะปิดเพิ่มต้องหาคนใหม่เพิ่มแล้ว ก็เริ่มออกไปคุยเพิ่มกันตั้งแต่ต้นเดือนเลย แต่แล้วอุปสรรคมันก็จะมีมาเรื่อยๆ เปิดเดือนกรกฎาคม ด้วยความที่เป็นเดือนแรกของครึ่งปีหลัง ที่บริษัทเลยจัด workshop สำหรับผู้บริหาร ก็มากันทุกประเทศเลย วีคแรกเลยมาจบที่เข้า workshop ยังโชคดีที่หาเคสทำได้ในช่วงท้ายๆ สัปดาห์ แต่ก็ปิดไม่ได้ จนล่วงเลยมาในสัปดาห์ที่ 2 เคสต่างๆ ก็แทบปิดไม่ได้เลย คราวนี้ก็เริ่มกดดันแล้ว
เดือนนี้เป็นเดือนที่ครบปีพอดี กับการพบกันของเรากับมอมแมม ไม่สิ ต้องเรียกชื่อฝรั่งเค้่าก่อน เพราะตอนเจอกันครั้งแรก เค้าชื่อ Howie แบบที่ยัยยาย ตั้งไว้ให้ (ยัยยาย คือ บรีดเดอร์ เจ้าของฟาร์ม Black Diamond Charm) จำได้ว่า ครั้งแรกที่ไปงาน ก็แค่อยากพาแจนไปงานมีทติ้งที่มีน้องหมาเยอะๆ เพราะเคยเห็นแจนยิ้มไม่หุบเลย ตอนไปงาน เพ็ทเอ็กซ์โป ซึ่งก็เลยได้ไปเห็นเหล่า เชลตี้เพียบเลย ก็แฮปปี้กันไป แต่บังเอิญ ในงาน คุณปูเป้ ก็เอาเจ้าหมาเด็กๆ มาด้วยและหนึ่งในนั้นก็คือ
เมื่อคุยกันจบแล้วว่าเราจะเริ่มต้นทำแอมเวย์ เราก็มองหากลุ่มธุรกิจที่เราจะเริ่มต้นทำด้วย ผมใช้เวลาอยู่หลายเดือนในการฟังลิ้งค์ผู้ประสบความสำเร็จ และพยายามติดตามข่าวสาร และรู้ตัวว่า จากการที่เราหมดอายุในคราวก่อนนั้น เราต้องรอ 6 เดือนแบบไม่ยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจใดๆเลย จริงๆเราก็เสียดาย ที่อยากไปเดินเล่นในงาน แอมเวย์เอ็กซ์โป ช่วงต้นปี แต่ก็เอาวะ ยังไม่ไปดีกว่า เอาไว้สมัครได้แล้วค่อยไปเรียนรู้ทีเดียว สิ่งสำคัญที่เรารู้จักแอมเวย์ในสมัยเก่าก่อนก็คือ เราเป็นคนชอบแนวคิดของธุรกิจแอมเวย์ ที่ให้ความสำคัญและมองเห็นศักยภาพของผู้คน เราไม่ทิ้งใคร เราไม่ตัดสินใคร เพียงเพราะความแตกต่าง ไม่ว่า จะเรื่องของฐานะทางการเงิน การศึกษา อายุ หรือสังคมที่ต่างกัน แต่แอมเวย์ คือ ธุรกิจที่เราให้ความสำคัญกับผู้คนอย่างเท่าเทียม
ถ้าจะต้องหาผู้ต้องสงสัยในงานนี้ คงต้องเป็นครูเข็มแล้วล่ะครับ เพราะปกติ เวลามีปัญหาในการฝึกหมา ก็มักจะพูดคุยกับครูเข็มเรื่อยๆ แล้วอยู่ๆครูเข็มก็ส่งโปรโมชั่น ลดราคาเข้าคอร์สฝึกหมา คอร์สหลักของ Susan มาให้ มันคือ คอมโบ Handling 360 รวมกับ Agility Nation ซึ่งรวมๆ ราคาลดแล้วห้าหมื่นกว่าบาท (นี่ลดแล้วเหรอเนี่ย) ซึ่งเคยตั้งใจอยากลงเรียนคอร์สนี้ตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่คุยกับสตาฟ เค้าแนะนำให้ลง Recallers ก่อนจะดีกว่า เพราะถ้ายังเป็นลูกหมา แล้วเรายังไม่ค่อยมีความรู้ ก็อยากให้พื้นฐานแน่นไว้ก่อน สรุปพอคำนวณไปๆมาๆ ก็เลยตัดสินใจ ไม่ลงตัวคอมโบ เพราะไม่อยากลงเงินไปทีเดียว แล้วถ้ามอมแมม เกิดไม่ค่อยชอบเล่นล่ะ จำทำไง และอีกอย่าง ไม่อยากจ่ายเป็นก้อนแล้วต้องมาเก็บเรียนทีเดียว 2 คอร์ส ก็เลยยอมลงทีละตัวซึ่งท้ายที่สุด ราคาจะแพงกว่า ลงควบแน่นอน แต่ไหนๆ ตอนนี้ลงคอร์สฝึกหมาอย่าง Handling
ถึงวันนี้ก็ผ่านไปประมาณ 3 เดือนกว่าๆ แล้วกับการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งวันที่นั่งเขียนโพสต์นี้อยู่ ก็ใช้งานไปประมาณ หมื่นกว่าโล ซึ่งพรุ่งนี้เช้าก็ต้องเอารถเข้าไปเช็คตามระยะ แต่ที่น่าสนใจก็คือ ได้โทรจองคิวเพื่อเช็คระยะ ก็เลยถามค่าใช้จ่ายโดยประมาณไว้ล่วงหน้า ซึ่งฝ่ายบริการแจ้งมาว่า ก็จะมีค่าโน่นนี่นั่น ถอดล้อ ทำความสะอาดเซ็นเซอร์ต่างๆ รวมล้างรถด้วย ทั้งหมดน่าจะประมาณ สี่ร้อยกว่าบาท !! แต่ก่อนอื่น ก่อนเริ่มเรื่อง มันเกิดขึ้นมาจากที่ Ford คันเก่ามันเริ่มงอแง เพราะขับใช้งานประมาณ สองแสนกว่าโลไปแล้ว เริ่มมีปัญหาที่ก้ามปูเกียร์ ก็ต้องเสียเงินเปลี่ยน แต่จริงๆ ก็ถือว่าเป็นอาการแรกที่มีปัญหาแบบรถขับไม่ได้นะ เพราะตลอดการใช้งาน เราก็เป็นประเภทรักษารถ ให้กินน้ำมันดีๆ น้ำมันเครื่องดีๆ มาตลอด แต่ท้ายที่สุดเมื่อระยะที่มันวิ่งก็ไม่น้อย รวมถึงอยู่กับเรามาก็เจ็ดปีพอดิบพอดี ก็เลยมองหารถมาทดแทนนั่นแล่ะคือที่มา ครั้นพออยากลองขับรถยนต์ไฟฟ้า ก็ลังเลมากๆ ว่ามันจะเป็นยังไงบ้าง จะดีพอมั้ย จะสะดวกในการใช้งานมั้ย หรือว่าควรรออีกหน่อยดีกว่า เผื่อเทคโนโลยีใหม่ๆ
เริ่มเดือนนี้ด้วยความตกใจ เพราะตอนปลายเดือนก็ไม่คิดว่า จะได้เป็น 15% BB แต่สุดท้ายเป็นได้ก็ดีเพราะรายได้ก็มีมาใช้ได้เลย ทำให้เดือนนี้เราเลยเครียดว่า ทำไงดี เดือนนี้บางคนที่เราปิดคอร์สมา เค้าเข้ามาช่วงกลางเดือนหรือบางคนก็ปลายเดือนแล้ว ของยังมีอยู่แน่ๆ จะปิดเพิ่มต้องหาคนใหม่เพิ่มแล้ว ก็เริ่มออกไปคุยเพิ่มกันตั้งแต่ต้นเดือนเลย แต่แล้วอุปสรรคมันก็จะมีมาเรื่อยๆ เปิดเดือนกรกฎาคม ด้วยความที่เป็นเดือนแรกของครึ่งปีหลัง ที่บริษัทเลยจัด workshop สำหรับผู้บริหาร ก็มากันทุกประเทศเลย วีคแรกเลยมาจบที่เข้า workshop ยังโชคดีที่หาเคสทำได้ในช่วงท้ายๆ สัปดาห์ แต่ก็ปิดไม่ได้ จนล่วงเลยมาในสัปดาห์ที่ 2 เคสต่างๆ ก็แทบปิดไม่ได้เลย คราวนี้ก็เริ่มกดดันแล้ว เพราะมันแตกต่างจากเดือนแรกพอสมควร อัตราประสบความสำเร็จแตกต่างกันมาก เพราะเดือนแรก คนที่สมัครเข้ามาล้วนแต่เป็นน้องๆ ที่เราสนิทจริงๆ พอเริ่มคุยกับคนในวงนอกมากขึ้นความยากมันเลยเพิ่มขึ้น เราเริ่มปรับวิธีการแล้ว เพราะเราชินกับรอบแรก ที่เรารู้จักกันดี เรารู้จักน้อง และน้องก็รู้จักเรา เชื่อถือเรา รอบนี้เราเลยเริ่มนัด โดยนัดคุยเรื่องสินค้าก่อน ปรากฏว่า
เดือนนี้เป็นเดือนที่ครบปีพอดี กับการพบกันของเรากับมอมแมม ไม่สิ ต้องเรียกชื่อฝรั่งเค้่าก่อน เพราะตอนเจอกันครั้งแรก เค้าชื่อ Howie แบบที่ยัยยาย ตั้งไว้ให้ (ยัยยาย คือ บรีดเดอร์ เจ้าของฟาร์ม Black Diamond Charm) จำได้ว่า ครั้งแรกที่ไปงาน ก็แค่อยากพาแจนไปงานมีทติ้งที่มีน้องหมาเยอะๆ เพราะเคยเห็นแจนยิ้มไม่หุบเลย ตอนไปงาน เพ็ทเอ็กซ์โป ซึ่งก็เลยได้ไปเห็นเหล่า เชลตี้เพียบเลย ก็แฮปปี้กันไป แต่บังเอิญ ในงาน คุณปูเป้ ก็เอาเจ้าหมาเด็กๆ มาด้วยและหนึ่งในนั้นก็คือ มอมแมม แจนก็เลยขออุ้มเล่น ทั้ง 2 ตัว แต่อีกตัวมีบ้านแล้ว ส่วนมอมแมม ยังไม่มีบ้าน เพราะตอนแรกทางยัยยาย ยังลังเลว่าจะเก็บเอาไว้ดีมั้ย เพราะเอาจริง ส่วนใหญ่ในบ้านเรา เชลตี้ (ชื่อเต็มๆ คือ
เมื่อคุยกันจบแล้วว่าเราจะเริ่มต้นทำแอมเวย์ เราก็มองหากลุ่มธุรกิจที่เราจะเริ่มต้นทำด้วย ผมใช้เวลาอยู่หลายเดือนในการฟังลิ้งค์ผู้ประสบความสำเร็จ และพยายามติดตามข่าวสาร และรู้ตัวว่า จากการที่เราหมดอายุในคราวก่อนนั้น เราต้องรอ 6 เดือนแบบไม่ยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจใดๆเลย จริงๆเราก็เสียดาย ที่อยากไปเดินเล่นในงาน แอมเวย์เอ็กซ์โป ช่วงต้นปี แต่ก็เอาวะ ยังไม่ไปดีกว่า เอาไว้สมัครได้แล้วค่อยไปเรียนรู้ทีเดียว สิ่งสำคัญที่เรารู้จักแอมเวย์ในสมัยเก่าก่อนก็คือ เราเป็นคนชอบแนวคิดของธุรกิจแอมเวย์ ที่ให้ความสำคัญและมองเห็นศักยภาพของผู้คน เราไม่ทิ้งใคร เราไม่ตัดสินใคร เพียงเพราะความแตกต่าง ไม่ว่า จะเรื่องของฐานะทางการเงิน การศึกษา อายุ หรือสังคมที่ต่างกัน แต่แอมเวย์ คือ ธุรกิจที่เราให้ความสำคัญกับผู้คนอย่างเท่าเทียม ทำให้ได้มีโอกาสได้ฟังแนวทางของหลายๆ กลุ่มที่ยังคงแนวคิดนี้ไว้อยู่ 1 ในนั้นก็คือกลุ่ม V2G (V2Gether) ของคุณวันชัย เมื่อตัดสินใจแล้ว พอเราสามารถสมัครได้ ก็ถึงเวลาทักสอบถามไปที่น้องพลุ ถาม์พร เพื่อขอเข้าไปจอยในกลุ่ม และน้องก็ให้การต้อนรับ โดยเลือกน้องๆ ที่บ้านอยู่ใกล้เรามาก
เมื่อเหล่าเจ้าของกิจการ และ CEO ต่างๆ ออกมาบอกว่า ครึ่งปีหลังนี้ รวมไปถึงปีต่อๆไป มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ถ้าเรายังจะร้องหา work life balance อยู่โดยที่ยังไม่มีอะไรมารองรับล่ะก็ น่าจะไม่ง่ายเอาซะเลย จนกลายเป็นดราม่ามากมาย ที่เห็นแตกต่างกันระหว่างคนแต่ละกลุ่ม ซึ่งพอย้อนมาดูตัวเอง ก็ถึงวัย ที่เริ่มรู้ตัวแล้วว่า อีกไม่กี่ปี เราจะไม่ได้เป็นที่ต้องการในตลาดที่เราทำงานอยู่ หรือง่ายๆ ก็คือ แก่เกินไปแล้วสำหรับงาน แถมอาชีพปัจจุบัน เราดันทำเกี่ยวข้องกับ เทคโนโลยี ซะอีก งานนี้ก็เลย โดน 2 เด้งเลย เพราะในตลาดนี้ มีเด็กรุ่นใหม่ๆ ที่สามารถเรียนรู้ได้เร็วกว่าเราเยอะ เหมือนสมัยก่อนที่ขอไม่ไปนั่งเขียนเว็บไซต์ เพราะเจอเด็กๆน้องๆ ที่เพิ่งจบมาเขียน โค้ดแบบโห.. ทำไม มันทำได้ง่ายจังวะ เมื่อก่อน ต้องมานั่งท่องนั่งจำแต่ละโค้ด นอกจากนั้น ทุกวันนี้เรารู้สึกว่า
สวัสดีครับ โพสต์นี้น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของหัวข้อ ฝึกหมา ในบล็อกของผมเลยครับ เรื่องของเรื่องก็เกิดจาก ที่สนใจพาแจนไปงานมีทติ้งของหมาๆ พันธุ์ เชดแลนด์ชีพด๊อก หรือ เชลตี้ น้องหมาต้อนแกะพันธุ์เล็ก ซึ่งเอาจริงก็แค่อยากพาแจนไปเจอคอมมูหมาเยอะๆ เท่านั้นแล่ะครับ แต่สุดท้ายมีหมาหัวเน่า 1 ตัว ที่พี่น้องในคอกมีบ้านอยู่หมดแล้วเหลือตัวเดียว ไม่มีใครต้องการ 5555+ เอาจริงๆ เจ้าของฟาร์มตั้งใจจะเก็บไว้เอง แต่สุดท้ายใจอ่อนยอมให้ย้ายบ้านมาอยู่กับผม มอมแมมเป็นหมาที่มีพี่น้องทั้งหมดรวม 3 ตัว คอกนี้เป็นเด็กผู้ชายล้วน บอยแบนด์ไปเลย เจ้าของฟาร์มเลยจับเอาชื่อเหล่าหนุ่มๆ จาก boyband ยุค 2000 มาตั้งชื่อ ก็จะมี Brian, Howie, Madai จากวงไหนบ้างผมก็ไม่แน่ใจ แต่โดยรวมๆ ทั้ง 3 หนุ่มก็สมควรเป็นหนุ่มอินเตอร์ เพราะว่า พ่อเค้าเป็นหนุ่มเมกันอิมพอร์ตมา ส่วนด้านแม่นั้น
วันนี้อยากเขียน ไม่สิ ต้องบอกว่า อยากพิมพ์เรื่องราวของ Mechanical Keyboard ยี่ห้อยอดนิยม Keychron ซึ่งตามรูปก็คือ ยี่ห้อนี้ผมได้มีโอกาสซื้อมาใช้ทั้งหมด 3 ตัว เริ่มจาก Keychron K10 Silent, K2 Pro, และตัวล่าสุด K7 Pro โดยเจ้า K10 Silent ตัวแรกถือเป็นประสบการณ์ที่แปลก เพราะไม่ได้ตั้งใจซื้อยี่ห้อนี้ตั้งแต่แรก ถ้าจะเล่าก็ต้องย้อนความไปตั้งแต่ช่วงต้นปีที่อยากประกอบคอมพิวเตอร์ซักตัวนึงเอาไว้ใช้งานที่บ้าน และก็เลยวางแผนว่าจะไปเดินหาซื้อที่งาน คอมมาร์ท ในช่วงต้นปี แต่ก่อนหน้านั้นก็ดูว่า พวกอุปกรณ์เสริมต่างๆที่จะหาซื้อ บางตัวเรากดสั่งซื้อกันในเว็บช้อปปิ้งไว้เลยดีกว่า ก็เลยได้ Mechanical Keyboard แบรนด์จีนมารอไว้ก่อน ซึ่งเป็นคีย์บอร์ดไซส์ 68 ที่ไม่มีปุ่ม numpad รวมถึงไม่มีฟังชั่นคีย์ ตั้งแต่ F1 –
เป็นเรื่องที่เขียนขึ้นจากคำพูดในหนังเรื่องนึงเมื่อหลายปีก่อน (หลายคนน่าจะรู้จักดีแล่ะ) เป็นเรื่องของการที่ตัวร้ายในหนังได้วางแผนการก่อการร้ายให้กับรัฐบาล ซึ่งถ้าเราเองในฐานะที่เสพข้อมูลทั้งข่าวสาร ทั้งภาพยนตร์ต่างๆ ก็จะคิดไปว่า การก่อการร้ายก็คงหมายถึง การวางระเบิด การสังหารหมู่ การใช้ความรุนแรง หรือแม้แต่การใช้เทคโนโลยี ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนนั้นดำเนินไปด้วยความยากลำบาก เอาจริงมีภาพยนตร์หลายๆ เรื่องที่ทำแบบนั้นอยู่ตลอดมา แต่ผมมาสะดุดตรงตัวร้ายตัวนึง ที่พูดถึงการก่อการร้ายเอาไว้ชัดเจนมาก และที่สำคัญ ผมว่ามันร้ายแรงกว่าการวางระเบิด หรือ ปล่อยอาวุธเชื้อโรคสู่สังคมอีก ว่าด้วยเรื่องของการก่อการร้ายแบบเดิมๆ ที่เราคุ้นเคยในหนังเรื่องต่างๆ ถ้าระดับจักรวาลแบบทานอสเลยก็คือ ทำให้คนทั้งจักรวาลหายวับไปทันที ครึ่งหนึ่ง หรือแบบในหนังทั่วๆไป ที่แฮคเข้าระบบต่างๆ เช่นระบบการจราจร ระบบการสื่อสาร และระบบทางการเงินของประเทศ สิ่งที่ได้รับทันที คือ ความจลาจล ความวุ่นวาย ความสูญเสีย แต่สิ่งหนึ่งที่เข้ามาทดแทนทันที ก็คือประชาชนในฐานะเหยื่อ ก็จะมีการรวมใจ และร่วมใจกันช่วยบรรเทาภัยต่างๆ แบบเป็นหนึ่งเดียวมากขึ้น ที่เคยทะเลาะกันก็อาจจะช่วยกันในช่วงเวลาที่เกิดการก่อการร้าย หรือถ้าเป็นหนังซุปเปอร์ฮีโร่ ก็คือทุกคนจะเฮกับการช่วยเหลือต่างๆของซุปเปอร์ฮีโร่ เรื่องนั้นๆ แต่เอาเข้าจริง
Gopro10 เริ่มวางขายในบ้านเราเมื่อวันศุกร์ที่ 17 กันยาที่ผ่านมา ผมเองก็มองๆเอาไว้ว่าจะซื้อหามาใช้ซักหน่อย จึงตั้งตารอ แต่ก็ไม่ได้ติดตามมากมาย จนเลื่อนฟีดบนเฟซแล้วเห็นว่ามีวางขายแล้วก็เลยรีบตัดสินใจสั่งซื้อตั้งแต่วันแรกที่วางขายกันเลย พร้อมกับ อุปกรณ์ต่างๆ ที่คาดว่าจะได้ใช้งาน ซึ่งถ้าซื้อพร้อมตัวเครื่องก็จะได้ราคาพิเศษ (ถูกลงมาอีกหน่อยนึง) ซึ่งก็มีรายการต่างๆ ตามนี้เลยครับ ถ้าย้อนไปเมื่อประมาณ 6-7 ปีก่อน ที่ผมซื้อ Gopro ใช้เป็นครั้งแรก ก็ต้องบอกว่าใช้งานได้คุ้มพอสมควร เพราะได้เอาไปถ่ายในการออกทริปต่างๆ หลายรอบมาก ทั้งยังให้น้องๆ บางคนยืมไปและบาดเจ็บกลับมา ต้องติดกาวตราช้างที่ขายึด และลงน้ำไม่ได้อีกแล้ว ซึ่งมันคือ เจ้า Gopro Hero ที่ออกมาช่วงเดียวกันกับ Gopro 3 หรือ 4 เนี่ยแล่ะครับ ในช่วงเวลานั้น เป็นยุคแรกที่ Gopro มาพร้อมกับจอด้านหลัง (รุ่นก่อนๆ ต้องซื้อแยกเป็นอุปกรณ์เสริม) ที่กินแบตพอสมควร
me:
จากประสบการณ์ที่อยู่ในตลาดของอินเตอร์เน็ตเมืองไทย (ตั้งแต่ปี 1999) ผมได้ผ่านอะไรหลายๆอย่าง ผ่านยุคผ่านสมัยต่างๆของ เทคโนโลยี และในปัจจุบันก็ยังสามารถเอาชีวิตรอดอยู่ในธุรกิจนี้ เพียงแต่จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา
ตอนนี้ผมทำงานเกี่ยวกับ Influencers โดยเฉพาะบน YouTube ใครสนใจหรืออยากได้คำแนะนำในการทำเนื้อหาบน YouTube ยินดีพูดคุยกันนะครับ
ป.ล. ผมเลี้ยงง่าย แค่กาแฟถ้วยเดียวก็พอครับ
Twitter feed is not available at the moment.