Close

Why do we fall?

เป็นเรื่องที่เขียนขึ้นจากคำพูดในหนังเรื่องนึงเมื่อหลายปีก่อน (หลายคนน่าจะรู้จักดีแล่ะ) เป็นเรื่องของการที่ตัวร้ายในหนังได้วางแผนการก่อการร้ายให้กับรัฐบาล ซึ่งถ้าเราเองในฐานะที่เสพข้อมูลทั้งข่าวสาร ทั้งภาพยนตร์ต่างๆ ก็จะคิดไปว่า การก่อการร้ายก็คงหมายถึง การวางระเบิด การสังหารหมู่ การใช้ความรุนแรง หรือแม้แต่การใช้เทคโนโลยี ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนนั้นดำเนินไปด้วยความยากลำบาก เอาจริงมีภาพยนตร์หลายๆ เรื่องที่ทำแบบนั้นอยู่ตลอดมา แต่ผมมาสะดุดตรงตัวร้ายตัวนึง ที่พูดถึงการก่อการร้ายเอาไว้ชัดเจนมาก และที่สำคัญ ผมว่ามันร้ายแรงกว่าการวางระเบิด หรือ ปล่อยอาวุธเชื้อโรคสู่สังคมอีก

ว่าด้วยเรื่องของการก่อการร้ายแบบเดิมๆ ที่เราคุ้นเคยในหนังเรื่องต่างๆ ถ้าระดับจักรวาลแบบทานอสเลยก็คือ ทำให้คนทั้งจักรวาลหายวับไปทันที ครึ่งหนึ่ง หรือแบบในหนังทั่วๆไป ที่แฮคเข้าระบบต่างๆ เช่นระบบการจราจร ระบบการสื่อสาร และระบบทางการเงินของประเทศ สิ่งที่ได้รับทันที คือ ความจลาจล ความวุ่นวาย ความสูญเสีย แต่สิ่งหนึ่งที่เข้ามาทดแทนทันที ก็คือประชาชนในฐานะเหยื่อ ก็จะมีการรวมใจ และร่วมใจกันช่วยบรรเทาภัยต่างๆ แบบเป็นหนึ่งเดียวมากขึ้น ที่เคยทะเลาะกันก็อาจจะช่วยกันในช่วงเวลาที่เกิดการก่อการร้าย หรือถ้าเป็นหนังซุปเปอร์ฮีโร่ ก็คือทุกคนจะเฮกับการช่วยเหลือต่างๆของซุปเปอร์ฮีโร่ เรื่องนั้นๆ

แต่เอาเข้าจริง ในยุคนี้ สมัยนี้ มีหลายๆ สิ่งเกิดขึ้น และโดยส่วนตัว ผมคิดว่า ให้ผลลัพธ์ที่รุนแรงกกว่าการก่อการร้ายมาก นั่นก็คือ การทำลายความถูกต้อง การทำลายความศรัทธาต่อความดีงามต่างๆ การทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย สิ่งเหล่านี้ส่งผลลัพธ์ที่นับวันจะยิ่งเลวร้ายมากขึ้น

อย่างข่าวที่เป็นประเด็นกันอยู่ในช่วงเวลานี้ (ปลายเดือนมกราคม 2022) เรื่องการหยุดให้คนข้ามตรงทางม้าลาย ที่อย่างน้อยผมเองก็ดีใจ ที่ผมมักจะหยุดให้คนเดินข้ามเป็นประจำ โดยไม่จำเป็นที่ต้องมีทางม้าลายด้วยซ้ำ ผมมีลำดับความสำคัญที่ต้องระมัดระวังบนท้องถนนที่คนเดินเท้าต้องมาก่อน ตามด้วยจักรยาน รถเข็นต่างๆ แล้วก็มอเตอร์ไซค์ เพราะหากเกิดอุบัติเหตุขึ้นคนเหล่านี้มีสิทธิได้รับการบาดเจ็บที่รุนแรงกว่า คนที่ขับรถยนต์อยู่แล้ว กลับเข้าเรื่องการหยุดรถตรงทางม้าลาย มันก็เหมือนกับ การที่คนขับรถบนไหล่ทางนั่นแล่ะ ทั้งบนทางด่วนหรือถนนธรรมดา เพราะเราได้เห็นอยู่เรื่อยๆ เห็นเป็นประจำ เห็นจนเข้าใจว่า มันเป็นเรื่องปกติ สามารถที่จะทำได้เพราะคนอื่นก็ทำได้ จนวันใดวันนึง เราก็อาจจะเป็นหนึ่งในคนที่ทำแบบนั้น เพราะเราได้รับการรับรู้ไปแล้วว่า มันคือเรื่องปกติ สามารถทำได้นั่นแล่ะ

วกกลับมาเรื่องนึงของประเทศนี้กันหน่อย ที่เราผ่านหลายๆ ช่วงเวลาดีๆ และช่วงเวลาที่ไม่ดี แล้วกลับพบว่า มีน้อยครั้งมาก ที่นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ไม่ได้มาจากการเป็นทหาร ซึ่งมันไม่ได้มาเกิดขึ้นใหม่ๆ ในยุคสมัยนี้เท่านั้น แต่มันเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนเป็นเรื่องปกติที่ว่า คนที่เรียนด้านรัฐศาสตร์ หรือเศรษฐศาสตร์ จบออกมาแล้วมีโอกาสเป็นนายกรัฐมนตรี น้อยกว่าคนที่จบจากโรงเรียนนายร้อยเสียอีก ปล่อยแบบนี้ไปเรื่อยๆ เด็กๆ ในวันข้างหน้าถ้าเกิดอยากจะเป็นนายกรัฐมนตรีขึ้นมา เค้าก็คงต้องเข้าไปเรียนในโรงเรียนนายร้อยนั่นแล่ะ

ทั้งหมดมันคือเรื่องของ ทัศนคติและความเชื่อ ความศรัทธาของคนล้วนๆ และความศรัทธาต่อความดีงามต่อความถูกต้องมันจึงเป็นเรื่องสำคัญมากๆ ในการที่จะทำให้สังคมยังดำเนินต่อไปได้ และยิ่งในยุคในสมัยที่ข้อมูลข่าวสารส่งต่อกันได้เร็วขนาดนี้เป็นเรื่องน่ากลัวมากๆ ถ้าหากสังคมได้มองเห็นเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นเป็นประจำ แต่หากวันใดวันนึง ที่ผู้คนล้วนแต่ยอมรับว่า ทำดีก็อาจจะไม่ได้ดี แบบคนโบราณกล่าวเอาไว้ หรือทำชั่วแล้วได้ดี มีให้เห็นอยู่เรื่อยๆ สังคมจะเริ่มให้ความสำคัญต่อการเป็นคนดีน้อยลง การมีคดีความต่างๆ ตามหน้าข่าว และมีการตัดสินที่ทำให้สังคมรู้สึกถึงความยุติธรรมที่มันหายไปเรื่อยๆ สังคมก็จะเริ่มให้ความสำคัญต่อกฎหมายน้อยลง และสุดท้ายผู้คนก็จะรู้สึกว่า ใครจะทำอะไรที่ผิดกฎหมายก็ได้ ขอแค่มีตัวช่วยแบบคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเงินทองเส้นสายต่างๆ และนี่แล่ะ คือเรื่องที่น่ากลัวกว่าการก่อการร้ายแบบใช้ความรุนแรงตามที่กล่าวมาข้างต้น

ท้ายสุดอยากจะเล่าให้ฟังว่า ที่ผมมักจะจอดรถเพื่อหยุดให้คนข้ามถนน ให้รถเล็กผ่านก่อน ผมไม่เคยนึกถึงว่า ถ้าไม่ทำจะกลายเป็นคนไม่ดี หรือมีกฏหมายอะไรจะมาเล่นงานผมเลยนะ เอาจริง ในทุกๆ ครั้งที่ผมชะลอรถ หยุดให้คนข้าม ผมมักจะมองเห็นคนเหล่านั้น หันมามอง และผงกหัวขอบคุณผม อยู่ในทุกๆครั้ง และนั่นแล่ะ ผมได้รับความรู้สึกดีๆ จากคนเหล่านั้น เป็นสิ่งตอบแทน

svg1 min read

Leave a reply